วิธีการเลือกซื้อแก้วเก็บความเย็น รู้ได้ไงว่าอันไหนดีไม่ดี

      สวัสดีค่า  บทความนี้จะมาแนะนำวิธีการเลือกซื้อแก้วเก็บความเย็น แก้วเก็บอุณหภูมิกันค่ะ   เราจะรู้ได้ยังไงว่าแก้วไหนดีไม่ดี  ในปัจจุบัน แก้วเก็บความเย็นในท้องตลาดมีเยอะมาก หลายรุ่น หลายแบบ หลายยี่ห้อให้เลือก  ราคาก็มีแต่ตั้งแต่ ราคาไม่ถึงร้อย ใบละ 80-90 บาท ไปจนถึงหลักพันบาทต่อใบ 

แก้วเก็บอุณหภูมิดียังไง  ช่วยให้เครื่องดื่ม / อาหารยังคงรสชาติที่ดีอยู่ได้จริงๆ  กาแฟร้อนที่ชืดแล้วก็ไม่อร่อย  กาแฟเย็นที่น้ำแข็งละลายจนจืดก็ไม่อร่อยเหมือนกัน  

      อะไรคือที่มาของราคาที่ต่างกันขนาดนี้  แน่นอนว่า การสร้างแบรนด์ คือจุดหนึ่งที่ทำให้ราคาต่างกัน การนำเข้าสินค้าที่มีแบรนด์ดังจากต่างประเทศเข้ามาขาย  ต้นทุนแก้ว ต้นทุนค่านำเข้า ต้นทุนในการเอาสินค้าเข้าชอป เข้าห้าง ค่า GP หรือ%ที่เราต้องจ่ายให้ห้าง  การเผื่อ% ในการจัดโปรโมชั่นต่างๆ  ค่าการตลาด การรับประกันสินค้า  ต่างๆ  เหล่านี้ เป็นการทำใช้ลูกค้าเชื่อว่า การจ่ายเงินที่มากกว่าจะได้แก้วเก็บอุณหภูมิที่มีคุณภาพมากกว่า 

แต่ก็แน่นอน การที่แบรนด์จะกล้ารับประกันได้  สินค้าก็ต้องมีคุณภาพที่ดีจริงๆ ด้วยเช่นเดียวกัน  ทีนี้ จะดูได้อย่างไรว่า แก้วที่ซื้อนั้นมีคุณภาพดีหรือไม่ดีอย่างไร  ดูได้จากอะไรบ้าง  จากประสบการณ์ของเราที่เป็นร้านรับสกรีนแก้วเก็บความเย็น แก้วเก็บอุณหภูมิ บอกได้ดังนี้

1.  ชนิดของสแตนเลส / ความหนาของสแตนเลส 
       ในปัจจุบัน สแตนเลสที่นิยมนำมาผลิตแก้ว จะมีอยู่ 3 เกรดคือ เกรด201 , เกรด 304, เกรด 316 แต่ละเกรดจะมีความทนทานต่อการขึ้นสนิมที่แตกต่างกัน เรียงจากน้อยไปมากตามลำดับ  และนำหนักของแสตนเลสก็แตกต่างกัน ตามลำดับเช่นกันเดียว  จะสังเกตว่า แก้วสแตนเลสดีๆ ที่เก็บร้อน-เย็นได้นาน มักจะมีน้ำหนักที่มากกว่าแก้วเบาๆ   รวมถึงความหนาของสแตนเลสที่นำมาผลิตแก้วด้วย  

        สแตนเลสเกรดที่เป็นที่นิยมที่สุดในการนำมาผลิตเป็นแก้วเก็บอุณหภูมิคือ สแตนเลสเกรด 304  มักจะตีตราที่ก้นแก้วว่า SUS304 หรือที่กล่องอาจจะระบุว่า  18/8 ก็หมายถึงสแตนเลสเกรดเดียวกันนั่นเอง  สแตนเลส 304 นี้ เป็นที่นิยมที่สุดเพราะทำแก้วแล้วเก็บอุณหภูมิได้ดีและราคาไม่สูงจนเกินไป

        สำหรับแก้วสแตนเลสที่เป็น 316 จะกันสนิมได้ดีที่สุด  และทนความร้อนได้มากถึง 800 องศาเซลเซียส  สามารถใส่อาหารน้ำแกง น้ำซุปร้อนๆ ได้  

2.  การประกอบ
3.  การทำสี
4.  ฝา

ยังไม่นับรวมถึง การออกแบบดีไซน์ รูปทรง การจับ การดื่ม ปริมาตรความจุ ฯลฯ




ต้นทุนไม่ได้อยู่ที่การสร้างแบรนด์แค่อย่างเดียว  แต่คุณภาพการใช้งาน การรับประกันที่แตกต่างกัน   


ถูกหรือแพงเกินไปไหม